ซิฟิลิส โรคที่ไม่ควรมองข้าม

ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อซิฟิลิสเพิ่มสูงขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนไทย ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยควรสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะหากตรวจพบเร็วก็จะรักษาง่าย ไม่ต้องเจ็บจี๊ดจากการเจาะน้ำไขสันหลังเพื่อการตรวจวินิจฉัย หากพบว่า มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือทวารหนัก หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีผื่นแดง พบที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลักษณะนูน มีสะเก็ด ไม่คัน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที


ซิฟิลิส (Syphilis) คือ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ผ่านการสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) สาเหตุที่ทำให้เป็นแผลซิฟิลิส หรือแผลริมแข็ง (Chancre) ขึ้นเป็นตุ่มนูนแตกออกเป็นแผลกว้างที่ปาก อวัยวะเพศ หรือทวารหนัก โรคซิฟิลิสที่ไม่ได้รับการรักษาให้หายตั้งแต่ระยะเป็นแผลจะพัฒนาเข้าสู่ระยะออกดอก และระยะติดเชื้อที่ทำลายระบบประสาท ระบบหลอดเลือดและหัวใจ และทำให้เสียชีวิตได้ในที่สุด ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษา


ซิฟิลิส มีสาเหตุจากอะไร ?

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นกามโรคชนิดหนึ่งที่ติดต่อจากคนสู่คนโดยมีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) ผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ เช่น การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่สวมถุงยางอนามัย การทำรักด้วยปากหรือการทำออรัลเซ็กส์ (Oral sex) การจูบที่สัมผัสกับน้ำลาย การสัมผัสกับบาดแผลหรือเยื่อเมือกของผู้ที่ติดเชื้อ หรือการติดเชื้อจากแม่สู่ลูกขณะตั้งครรภ์ หรือระหว่างการคลอดบุตร


การวินิจฉัยซิฟิลิส มีวิธีการอย่างไร ?

แพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยโรคซิฟิลิสอย่างละเอียดโดยการซักประวัติหากมีความเสี่ยง ร่วมกับการตรวจร่างกายเพื่อประเมินอาการเบื้องต้นและทำการการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้วยวิธีการดังต่อไปนี้


1) การส่องกล้อง Dark-field (Dark-field microscopic test: DF) เพื่อตรวจหาเชื้อซิฟิลิสโดยการเก็บตัวอย่างเซลล์บนผื่นผิวหนัง หรือหนองบริเวณบาดแผลในระยะที่ 1 หรือระยะเป็นแผลไปทำการส่องกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษเพื่อค้นหาเชื้อซิฟิลิส

2) การตรวจเลือด (Blood test) เป็นการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาแอนติบอดี้หรือภูมิคุ้มกันต่อโรคซิฟิลิสในระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรียทรีโพนีมา พาลลิดัม สาเหตุของโรคซิฟิลิส เป็นวิธีการตรวจที่มีความแม่นยำ และสามารถทราบผลการตรวจภายใน 1-3 วัน โดยการตรวจเลือดสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 วิธี ได้แก่

  • การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันที่ไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส เช่น การตรวจ VDRL (Venereal disease research laboratory test) หรือการตรวจ RPR (Rapid plasma reagin)
  • การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันที่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส เช่น การตรวจ FTA-ABS (Fluorescent treponemal antibody absorption) การตรวจ TPHA (Treponemal pallidum hemagglutination test) การตรวจ TP-PA (Treponema pallidum particle agglutination) หรือการตรวจ ICT (Immunochromatography test)

3) การตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) ผู้ที่มีอาการเข้าข่ายซิฟิลิสในระยะที่ 3 ที่มีอาการทางระบบประสาทและภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ แพทย์จะพิจารณาการตรวจวินิจฉัยโดยการเจาะน้ำไขสันหลัง (Cerebrospinal fluid) เพื่อยืนยันโรค


การรักษาซิฟิลิส มีวิธีการอย่างไร ?

แพทย์จะทำการรักษาโรคซิฟิลิสด้วยวิธีการฉีดยาปฏิชีวนะกลุ่มยาเพนิซิลลิน (Penicillin) ขนาดสูงเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรียและยับยั้งการติดเชื้อ ในผู้ที่มีการดำเนินโรคอยู่ในระยะที่ 1 แพทย์จะทำการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อโดยตรงเพียงครั้งเดียวแม้ไม่มีอาการ หรือมีผลการตรวจเลือดเป็นลบโดยเฉพาะกับคู่รักหรือคู่เพศสัมพันธ์


ผู้ที่เป็นซิฟิลิสที่มีการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะที่ 2-3 แพทย์จะพิจารณาฉีดยาปฏิชีวนะเข้ากล้ามเนื้อทุกสัปดาห์รวม 3 เข็ม และจะพิจารณาให้ยาทางหลอดเลือดดำหากมีการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ ของร่างกายหรือในกรณีที่มีอาการรุนแรง โดยแพทย์จะนัดตรวจเลือดหลังรับการรักษา 3 เดือน และ 6 เดือน และนัดตรวจเลือดซ้ำเป็นประจำทุกปี เพื่อติดตามอาการและเพื่อป้องกันไม่ให้โรคพัฒนาไปสู่ระยะสุดท้ายที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้


ทั้งนี้แพทย์แนะนำให้ผู้รับการรักษาควรงดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าผลการตรวจเลือดจะเป็นลบ หรือสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งหากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ และควรแจ้งให้คู่เพศสัมพันธ์รับทราบเพื่อให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วยเช่นกัน


** ขอบคุณข้อมูลจาก : medparkhospital.com